



ช่วงวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2551 ได้มีการจัดสมนานอกสถานที่ หลังจากที่ได้เรียนหลักสูตรขั้นประยุกต์ (Advance)ของกลุ่มนักศึกษาหมอฟันสอนดูดวง พวกเราก็ได้ไปเขาใหญ่และได้ไปพักบ้านของลูกศิษย์คนหนึ่งที่ติดภูเขา ทุกคนก็รู้สึกขอบคุณน้ำใจอันงามที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อในครั้งนี้
อาจารย์ (หมอ) ก็มีแนวความคิดว่า เมื่อนักศึกษาของสถาบันได้เรียนหลักสูตรขั้นประยุกต์ จนมีขีดความสามารถในเรื่องของความแม่นยำของโหราศาสตร์ไทยพาราณสีประยุกต์ และแต่ละคนก็ได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วว่า ศาสตร์แห่งไทยพาราณสีประยุกต์นั้นมีจริง และสามารถดูได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างเป็นวัน ชั่วโมง นาที ซึ่งพวกเราก็มักจะพูดแซวกันว่า "วิชานี้ศักสิทธิ์จริงๆ" เนื่องจากความแม่นยำที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งสามารถคำนวณได้จากหลักวิชา "หมอฟันสอนดูดวง หรือไทยพาราณสีประยุกต์" นั่นเอง
อาจารย์ (หมอ) ก็เลยแกล้งแหย่บรรดาลูกศิษย์ขั้นประยุกต์ (Advance) เพื่อดูทัศนคติของลูกศิษย์ว่า "แต่ละคนจะมีความคิดเห็นอย่างไร" โดยอาจารย์ถามว่า "พวกเราก็เรียนวิชาโหราศาสตร์ไทยพาราณสีประยุกต์สำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง ถ้าจะให้ลืมไปเลยว่า พวกเราได้เคยมาเรียนศาสตร์นี้ แล้วไม่ต้องดูดวงอีกแล้ว จะทำได้ไหม? ให้กลับไปใช้วิปัสสนากรรมฐานหรือการนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องคำนึงว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรอีกแล้ว โดยให้ใช้สติและกรรมฐานเพียงอย่างเดียวและดำรงชีวิตไปแต่ละวันด้วยสติและวิปัสสนาเท่านั้น"
ทุกคนถึงกับอึ้งสักครู่ แล้วก็ต่างคนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "เป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่นำกลับมาใช้ หรือแกล้งลืมวิชานี้ เพราะสามารถนำวิชานี้ มาใช้กับกิจวัตรประจำวันในชีวิตของแต่ละคนอย่างมีประโยชน์ โดยเฉพาะเป็นศาสตร์แห่งการป้องกัน ซึ่งเปรียบเสมือนมีสติกำกับตลอดเวลาอย่างเป็นไปเอง และยังสามารถนำวิชานี้ ไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาชีวิตของตนเองและของคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
อาจารย์ (หมอ) ก็รู้สึก "ขำๆในเรื่องที่ลูกศิษย์ตอบกลับมา ที่เป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีใครในกลุ่มนักศึกษานี้ ที่สามารถจะแกล้งลืมวิชานี้ หรือไม่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ และทุกคนกลับไม่ขำเพราะ ทุกคนถือว่าวิชานี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว หรือที่เรียกว่า วิชานี้ได้กลายเป็นความรู้ หรือกลายเป็นสติปัญญา ในการที่จะนำไปใช้ในชีวิต เพื่อทำให้ชีวิตของแต่ละคนมีความราบรื่น หรือทำให้ชีวิตมีปัญหาน้อยที่สุดได้ นั่นเอง"