ReadyPlanet.com
dot
dot
เข้าสู่ระบบ (Log in)
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
bullet สมัครสมาชิก
dot
dot
เว็บน่าสนใจ ******* Interesting Website
dot
bulletBlog หมอฟันสอนดูดวง
bulletเทคโนโลยี่แห่งการมีฟันสวย
bulletเว็บโฆษณาดังที่สุดของเมืองไทย
dot
บทความที่ไม่ควรอ่านข้าม
dot
bulletพัฒนาจิต พัฒนาชีวิต น่าสนใจมากๆ
bulletโหราศาสตร์ไทยพาราณสี ภูมิปัญญาจากอดีตสู่ความหวังในอนาคต
bulletความคิดเห็นของผู้มาเรียน
bulletVDO งานวันไหว้ครูที่ทำให้อาจารย์ประหลาดใจ
bulletบรรยากาศแห่งความสุขในชั้นเรียนรุ่นที่ 6
bulletบรรยากาศแห่งความสุขในชั้นเรียนรุ่นที่ 5
bulletงานเลี้ยงหลังจบเรียนรุ่นที่5
bulletสังสรรค์รุ่น 5 ร้านแอนนาชาลี 6 มิถุนายน 2552
bulletสั่งซื้อโปรแกรมโหราศาสตร์ไทยพาราณสี
dot
** เฉลยตะลุยโจทย์** หนังสือหมอฟันสอนดูดวง
dot
bulletเฉลยตะลุยโจทย์ "หมอฟันสอนดูดวงภาคเคล็ดลับ เล่ม1"
bulletเฉลยตะลุยโจทย์ "หมอฟันสอนดูดวงภาคเคล็ดลับ ภาค 2"
dot
ปัญญาวิเคราะห์
dot
bulletฆ่าตัวตายนั้นไม่ยาก
bulletโหราศาสตร์กับโลกอนาคต
dot
Newsletter

dot
bulletรายชื่อคณะกรรมการกฐิน วัดดอนโพธิ์งาม




พัฒนาจิต พัฒนาชีวิต น่าสนใจมากๆ

 

พัฒนาจิต พัฒนาชีวิต     การฝึกทำสมาธิแบบง่ายๆ
หลายคนในโลกไม่เข้าใจหรือจะเรียกว่า " ไม่รู้ " เลยก็ว่าได้ คิดว่าการมีชีวิตอยู่ในโลก คือการเสพสุข ทางตาเห็นของสวยงาม  หูได้ยินเสียงที่รี่นหู  จมูกได้กลิ่นที่รื่นรมย์  ลิ้นได้รับรสอาหารที่ถูกใจ  กายได้สัมผัสกับสิ่งที่อยากสัมผัส  ซึ่งผลจากการได้สัมผัสทางอวัยวะต่างๆเหล่านี้ มีความเชื่อเบื้องต้นหรือไม่ต้องคิดอะไรเลยก็ได้ ทำให้ใจหรือจิตของคนในโลกนี้ เกิดความสุขจากการสัมผัส ด้วยความรู้ไม่เท่าทัน จิตนั้นก็จะเกิดความเคยชิน และต้องการสิ่งสัมผัสต่างๆเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ทำให้จิตหรือใจนี้ขาดกำลังหรือพลังในการที่จะเพิ่มระดับการพัฒนาชีวิต คือทำให้จิตขาดการเรียนรู้ธรรมชาติภายในของจิตเองโดยสิ้นเชิง เช่นจิตไม่สามารถสังเกตอารมณ์ที่ขุ่นมัวหรือเศร้าหมองเครียดจากการกระทบกับเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตที่ไม่ถูกใจหรือไม่สมปรารถนาได้ ทำให้เกิดสภาวะจิตเป็นทุกข์ต่อเนื่องยาวนานและเกิดความเสื่อมถอยหรือไม่พัฒนาและนำไปสู่สภาวะจิตหรือใจที่ตกต่ำ เกิดเป็นโรคจิตโรคประสาทต่างๆ ทำให้ระดับสารเคมีในสมองบางอย่างทำงานผิดปกติจากที่ควรจะเป็น ซึ่งผลจะทำให้มีอาการทางประสาทหรือโรคจิต ต้องกินยาปรับสารเคมีในสมองให้อยู่ในลักษณะควบคุมได้ แต่บางครั้งถ้าแก้ไขไม่ทันหรือไม่ได้ระวัง ก็อาจลามไปถึงการฆ่าตัวตายทำลายชีวิตตัวเอง
การพัฒนาจิตใจเป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ เพียงแต่ว่า พวกเรามีความตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องทางจิตใจกันหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่ก็มีหลายคนในโลกใบนี้ ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาจิตใจกันแล้ว เพราะถ้าเราขาดหลักในการพัฒนาชีวิตจิตใจแล้ว เราจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอทางจิตใจหรือทุกข์ทรมานทางจิตใจ ในแบบที่เรียกว่า “ไม่รู้ตัวเลย ก็ว่าได้” และก็จะนำไปสู่ผลเสียที่กล่าวถึงแล้วข้างต้น
เคล็ดลับในการพัฒนาจิตใจ มีรูปแบบหลากหลาย ขอแนะนำวิธีต่างๆดังนี้
1.     การฝึกทำสมาธิแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อนและสามารถพัฒนาไปถึงขั้นแยกแยะทำให้เกิดปัญญา
2.     การฝึกสวดมนต์ จนถึงขั้นท่องพระคาถาสวดมนต์ต่างๆได้คล่อง เกิดความรู้ภายในหรืออนุสติทำให้เกิดพลังจิตพลังใจอันแข็งแกร่งเปรียบเหมือนมีฤทธิ์ทางใจ
3.     การฝึกสังเกตจิตใจ ให้ตั้งอยู่ในความเต็มเปี่ยม อิ่มอก อิ่มใจ นำไปสู่ความผาสุกที่แท้จริงในชีวิต เรียกว่า “การทำบุญ ทุกอิริยาบถของชีวิต โดยมีจิตใจเป็นศูนย์กลาง” หรือ “การทำบุญทางใจ”
 
 
    ก่อนอื่นคนเราต้องมาทำความเข้าใจเรื่องของสมาธิกันเสียก่อน พอพูดถึงเรื่องการทำสมาธิ หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องยากหรือเป็นคำตกยุคตกสมัยในยุคโลกาภิวัฒน์แล้ว บางคนเห็นคำนี้ ก็ไม่อ่านแล้ว บอกว่าเบื่อโดยไม่มีสาเหตุ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องโบราณล้าสมัยไปเสียแล้ว โลกนี้เขาไปถึงไหนกันแล้ว ยังมามัวสนใจเรื่องสมาธิวิชาโบราณเหล่านี้อยู่ทำไม สมัยก่อนผมก็คิดอย่างนี้สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ แต่ยังโชคดีอยู่อย่างครับ ที่มีนิสัยชอบทดสอบเรียนรู้ ก็เลยเปิดใจกว้างในเรื่องพวกนี้ ลองเรียนรู้ ลองปฏิบัติดู และหมั่นสังเกตผล จึงพบว่าการฝึกทำสมาธิให้ผลดีหลายๆอย่างทีเดียว เช่น ทำให้เป็นคนมีอารมณ์แจ่มใส มีความสามารถในการสังเกตอารมณ์ตัวเองได้ดีและพัฒนาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองไปในทางที่ดีขึ้น สามารถยอมรับและแก้ไขในข้อผิดพลาดของตนเอง นั่นหมายถึงสรุปคือ ยอมรับความจริงในชีวิตต่างๆได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในทางที่ถูกใจ ( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองในทางที่ดี ) หรือไม่ถูกใจ ( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองในทางที่ไม่ดี ) และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทำให้เป็นคนมีความยืดหยุ่นสูงทางอารมณ์เพราะฉลาดรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง ถึงแม้บางครั้งจะน๊อตหลุดไปก่อนครับ แต่ก็สามารถเอาน๊อตมาใส่ได้ทันครับ ดีกว่าปล่อยให้น๊อตหลุดแล้วไม่ยอมใส่ปล่อยให้เครื่องยนต์เสียหายซ่อมไม่ได้เลยครับ ฮิๆ
   เอาละครับ คราวนี้ก็เข้าเรื่องกันเสียทีว่าเราจะฝึกสมาธิอย่างง่ายๆกันอย่างไร เผอิญผมเองเป็นคนชอบเรียนรู้ เลยศึกษาเรียนรู้จากหลายสำนัก เช่น การทำสมาธิของสถาบันในอเมริกา ที่เรียกว่า "ทีเอ็ม" หรือ "TM" ย่อมาจากคำว่า "Transcendental Meditation" และการทำสมาธิวิปัสนาของหลวงพ่อชาและท่านอาจารย์พุทธทาส  เลยทำให้เข้าใจเรื่องของสมาธิค่อนข้างมาก เพราะเป็นคนชอบค้นคว้าทางจิตอยู่แล้ว
   วิธีฝึกสมาธิแบบง่ายคือเราจะใช้ลมหายใจที่เราหายใจอยู่ทั้งเข้าและออกเป็นตัวสัมผัสรับรู้ นั่งสบายๆ ท่าไหนก็ได้ครับ จะเป็นนั่งขัดสมาธิคือนั่งพับขาแบบเอาขาไขว้กันซ้ายทับขวาหรือขวาทับซ้ายก็ได้ อย่าไปสนใจเรื่องท่าทาง หรือจะนั่งกับเก้าอี้เอาหลังพิงเบาะก็ได้ แต่ห้ามเอาศรีษะพิงเบาะ แต่เอาหลังพิงได้ ขออย่างเดียวห้ามเอาศรีษะพิงเพราะอะไรทราบไหมครับ เพราะจะทำให้หลับคาสมาธิไงครับ ฮิๆ
   ทำใจปล่อยวาง  วางตัวตามสบายไม่ต้องเกร็ง ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ถ้าเป็นไปได้ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เพราะจะเหนี่ยวนำจิตใจและความรู้สึกของเราให้สงบลงได้ในระดับหนึ่ง ทำความรู้สึกตัวเพ่งความสนใจไปที่ลมหายใจ เมื่อหายใจเข้าให้ระลึกรู้ตัวว่า มีลมผ่านจากจมูก ผ่านหลอดลมเข้าสู่ปอด หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น และเมื่อหายใจออกให้ระลึกรู้ตัวว่า มีลมหายใจออกจากปอด ผ่านหลอดลม ออกทางจมูก หน้าอกหุบลง เอาความรู้สึกจับลมหายใจเข้าออก อย่างที่ว่ามีมาไปเรื่อยๆ ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมา หรือมีความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้น อย่าปฏิเสธความคิดหรือบังคับว่าไม่ให้เกิดความคิด การพยายามฝืนความคิดไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ปล่อยให้คิดไป แต่พอเรารู้ตัวให้กลับมาระลึกรู้ถึงลมหายใจเข้าออกอีกไปเรื่อยๆ  ถ้าจะคิดไปในเรื่องใดก็เพียงแต่รับรู้ไว้ แล้วกลับมารับรู้ที่ลมหายใจเข้าออกอีกไปเรื่อยๆ ถ้าทำไปได้ระยะเวลาหนึ่ง ก็จะเกิดความรู้สึกระลึกรู้ถึงธรรมชาติการรับรู้ของจิต เป็นตัวรู้ที่รู้จักตัวธรรมชาติของเขาเอง นั่นคือสติสัมปชัญญะเกิด จะเริ่มเรียนรู้ธรรมชาติตัวรู้ของจิตเอง  ค่อยๆสังเกตเรียนรู้ประสบการณ์จากการทำสมาธิเองไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ การรับรู้ธรรมชาติของจิตเขาเองก็จะค่อยขยายตัวเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดสภาวะแยกความรู้สึกตัวที่รู้ได้กับความคิดที่ผุดขึ้นมา เป็นคนละอย่างกัน ทำให้เกิดสภาวะการจัดการบริหารความคิดได้ดีขึ้น โดยไม่ยึดติดกับอารมณ์ที่เกิดจากความคิดตกกระทบ เมื่อจิตรู้จักแยกความรู้สึกตัวออกจากความคิดแล้ว ก็จะทำให้จิตนั้นเริ่มปล่อยวางจากอารมณ์ซึ่งเป็นผลจากการความคิดต่างๆได้ เกิดการผ่อนคลาย และมีความรู้สึกตัวทางจิตในทางที่เป็นอิสระมากขึ้นๆ จนเมื่อมีความชำนาญและคุ้นเคยก็สามารถบรรลุอิสรภาพทางจิต พ้นจากการรัดร้อยด้วยอำนาจอารมณ์และความคิดต่างๆได้
 
 
      หลักการทำสมาธิคือพยายามปฏิบัติทุกวัน วันละ 1 - 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 - 30 นาที แต่ถ้าไม่ค่อยมีเวลาก็พยายามแบ่งเวลาประมาณวันละ 5 นาทีก็ยังดีเป็นอย่างน้อย ถ้าไม่มีเวลาเลยเวลาที่เข้าห้องน้ำเวลานั้นก็ยังฝึกทำได้ครับ ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมาก ขอเพียงแต่ให้ตระหนักถึงความสำคัญและมีความตั้งใจจริงเท่านั้นก็พอแล้ว ก็เท่ากับพวกเราค่อยๆเติมเชื้อเมล็ดพันธุ์ทางความรู้ให้จิตพัฒนายกระดับความรู้ นั่นคือ"การทำบุญหรือกุศลให้ตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก" การสร้างบุญกุศลจากการบำเพ็ญปฏิบัติด้วยตนเองนั้นง่ายกว่าและสะดวกกว่า โดยทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ในขณะจิตนั้น ชาวพุทธเรามักจะชอบทำบุญทำทานโดยใช้ทรัพย์สินเงินทองมากกว่าการทำบุญกุศลด้วยการเจริญสมาธิวิปัสสนาหรือการสร้างสติสัมปชัญญะเพื่อพัฒนาสติปัญญาซึ่งมีคุณค่ามากกว่าการทำบุญทำทานโดยทรัพย์สินเงินทองเสียอีก ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมให้ดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของมหาชนในสมัยพุทธกาล ซึ่งพวกเราชาวพุทธควรหันมาปฏิบัติบูชาเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสร้างบุญกุศลบารมีให้ตนเองกันเถอะครับ สิ่งที่พวกเราจะได้เห็นหรือสัมผัสได้จริงๆก็คือ จะมีจิตใจที่แจ่มใสเบิกบานอยู่เสมอ เพราะรู้เท่าทันอารณ์และความรู้สึก ทำให้ความทุกข์ก่อตัวหรือทำร้ายจิตใจของเราได้น้อยลงไปเรื่อยๆ และทำให้เราใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ได้อย่างเป็นบุญเป็นกุศลตลอดเวลา
   สำหรับหลักการทำสมาธิต่างๆในรายละเอียด สามารถติดต่อสอบถามหรือเรียนรู้ได้จากผู้เขียน ทันตแพทย์ธีระพันธ์ แสงไพบูลย์ โทรมือถือ  0869916456
 
การฝึกสวดมนต์
 
   ผมเองชอบสงสัยครุ่นคิดเรื่องการสวดมนต์ว่ามีอะไรดีอยู่เบื้องหลังของการสวดมนต์ มีทางเดียวที่ผมจะรู้แจ้งได้ดีที่สุดก็คือ "ผมต้องสวดให้เป็นให้ได้ก่อนและต้องปฏิบัติสวดมนต์ทุกวัน" ก็เลยลองพยายามหัดสวดมนต์พระคาถาต่างๆของพระอาจารย์ดังๆที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและมหาชน เช่น พระคาถาชินบัญชรของสมเด็จพระอาจารย์โต พรหมรังษี วัดระฆังโฆษิตราราม  และพระคาถาพุทธช้ยมงคลพาหุงมหากา ที่หลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เป็นต้นก็ได้ค้นพบถึงพลังความศักสิทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อทำให้เกิดความรู้เชื่อมโยงทางจิต และเคล็ดลับของจิตว่าด้วยเรื่องของอนุสติและศรัทธาที่ทำให้เกิดฤทธิ์ใจเป็นการเสริมสร้างกำลังใจและพลังจิตของผู้สวดอยู่ประจำ  พระคาถาที่น่าสวดประจำมีดังต่อไปนี้
 
 
ชัยมงคลคาถา ( พระคาถาพาหุง )
พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตาะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
นาฬาคิริงคะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะ สุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินะยา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
สัจจังวิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
 
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะเถระ ภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต 
อิทธูปะเทสะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
 
***** พรัหมัง อ่านว่า พรัมมัง
 
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะ เนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ 
  
                                ชัยปริตร ( มหากา ฯ )
 
มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง
 ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง
          ชะยันโตโพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน
เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก
สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ
สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏ ฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง
พรัหมะ จาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณา นิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
 
 ****** พรัหมะ อ่านว่า พรัมมะ
 ผู้ใดสามารถท่องพระคาถาเหล่านี้ได้ จะมีแต่ศิริมงคลในชีวิตเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จะเจอแต่คนดีๆ
อุปสรรคปัญหาในชีวิตจะถูกขจัดปัดเป่า ร้ายกลายเป็นดี ป้องกันวิญญาณอันชั่วร้าย ขจัดอาถรรพ์ต่างๆ
มีแต่ความสุขความเจริญตลอดชั่วกาลนาน
   หลักการท่องพระคาถาพาหุงมหากา คือค่อยๆหัดท่องไปทีละบท พยายามท่องซ้ำทีละบทไปเรื่อยๆจะค่อยจำได้เองทีละเล็กทีละน้อย ถ้าตั้งใจจริงไม่นานก็จะท่องได้หมดภายในไม่กี่วัน บางคนที่ผมรู้จักใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ท่องได้หมดแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าเขาเก่งจริงๆและมีความตั้งใจจริงๆอย่างแรงกล้า
  เคล็ดลับในการท่องได้อยู่ที่ความตั้งใจทำจริงพยายามจริงๆไม่ย่อท้อไม่เร็วก็ช้าก็จะสามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่ว

 







Copyright © 2010 All Rights Reserved.